Sunday, 20 October 2024

“ค่าครองชีพ” ปีกระต่ายกรอบ

ค่าครองชีพ ที่มีปัญหา เป็นของขวัญ ปีกระต่าย ที่คนไทยไม่อยากจะรับ แม้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะยอมตรึงค่าไฟฟ้างวดเดือน เดือนมกราคม-เม.ย. 66 ในส่วนของบ้านเรือนที่ใช้ไฟไม่มากไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย และออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

แต่ว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลพวงจากต้นทุนค่าไฟ ในส่วนของ ผู้ผลิต ที่มากขึ้นตลอด 3 รอบในปี 2565 พ่นพิษ กระทบต่อ ต้นทุนการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่อง

กกพ.

ค่าครองชีพ สูงขึ้น ปัญหาก็เพิ่มมากขึ้น

“ถึงแม้ กกพ. จะทบทวนค่าเอฟทีงวด เดือนมกราคม-เม.ย.66 ให้เอกชน แต่ก็ยังไม่สามารถทุเลาผลพวงได้ เพราะยังมีต้นทุนอื่นๆทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าจ้างที่เพิ่ม และยังไม่นับรวมดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นอีกในปี’66”

เอกชนนำโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตลอดจนถึงนักวิชาการต่างคัดค้านการปรับขึ้นค่าไฟ พร้อมแสดงให้เห็นว่าการปรับค่าไฟฟ้า จะกดดันทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปี’66 ขยับเพิ่มขึ้นอีก 0.5% จากที่คาดการณ์ไว้ 3.0% เป็น 3.5%

เมื่อเงินเฟ้อสูงมากขึ้น ก็จะเชื่อมโยงให้มีการปรับอัตราค่าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตาม ยิ่งดอกสูง คนที่มีภาระหน้าที่ผ่อนบ้าน ผ่อนรถจะลำบาก และจะย้อนมาทำให้ “กำลังซื้อ” ของประชาชนจะหดลง ท้ายสุดจะไปกระทบต่อการฟื้นฟูสภาพทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) จากที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.5% ก็อาจไปไม่ถึง

“ภาระค่าใช้จ่าย” รายเดือนคนไทยที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เคยคำนวณไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ 18,146 บาทต่อเดือน ซึ่ง 41.55% เป็นค่าอาหาร ส่วน 58.45% ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่อาหาร นำโด่งเลยคือ ค่าโดยสารสาธารณะ ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ 23.34% หรือ 4,235 บาท

3 สถาบันทางเศรษฐกิจ

ค่าครองชีพ ค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ฯลฯ ก็แพงขึ้น

และก็ตามด้วยค่าเช่าบ้าน ก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ในบ้าน 22.14% หรือ 4,018 บาท อันดับ 3คือค่าแพทย์ ค่ายา และก็บริการเฉพาะบุคคล 5.39% หรือ 978 บาท ซึ่งแน่นอนว่าต้นปีกระต่ายค่าครองชีพเหล่านี้จะขยับขึ้น ในขณะที่ “รายได้” ยังไม่ขยับตาม

อย่างไรก็ตาม ในมุม กกพ.บอกเหตุผลว่า การพิจารณา ปรับค่าไฟฟ้าเป็นเพราะว่าต้นทุนการสร้างกระแสไฟฟ้าปรับสูงมากขึ้น จากเดิมไทยมีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ แต่หลังจากเปลี่ยนตัวผู้รับสัมปทานใหม่

ซึ่ง “ขลุกขลัก” ทำให้ผลิตได้ไม่เต็มกำลัง อย่างที่หวังไว้ ไทยจึงต้องแก้ปัญหาด้วย การใช้วัตถุดิบ LNG นำเข้า โดยเฉพาะการนำเข้า LNG SPOT ที่มีราคาสูงหลังจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ภาครัฐพยายาม แก้ปัญหา ด้วยการไปใช้น้ำมันดีเซล และ น้ำมันเตามาผลิตไฟฟ้าแทนบ้าง บวกกับ ยืดอายุ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ มาช่วย แต่ว่าก็ยังไม่สามารถทัดทานต้นทุนที่สูงมากขึ้นได้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ก็ต้องช่วยแบกภาระหน้าที่ไว้เกือบจะถึง 1.5 แสนล้านแล้ว

ผลจาก วิกฤตพลังงานครั้งนี้ กระทรวงพลังงานเร่ง แผนพลังงานแห่งชาติ เพิ่มขนาดการใช้ พลังงานหมุนเวียน มากขึ้น กระจายความเสี่ยง ด้วยการสร้างไฟฟ้าที่หลากหลายแหล่งมากขึ้น พร้อมกับจัดเตรียมแผนหา LNG สำรองต่างๆ

แต่ก็หลายคนคิดว่าถ้าหากคิดตามกลไกตลาด เมื่อสินค้าล้น ราคาต้องลดลง แต่นั่นไม่ใช่สำหรับกระแสไฟฟ้า ที่ล้นแต่ราคาไม่ลดน้อยลง เพราะว่าติดสัญญาเรื่องค่าความพร้อมจ่าย

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

เจ้ากระทรวงพลังงานออกมาแถลงว่า

ไม่สามารถ “ทบทวนโครงสร้างค่าไฟ” ด้วยการไปเขย่าสัญญาซื้อขายที่ทำไว้กับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ และโยนลูกไปว่า “มันไม่ใช่สัญญาที่ทำในรัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลไหนทำมาก่อนก็จะไม่โทษกัน”

ซึ่งผลการ ไม่ปรับสัญญา ซื้อขายไฟ หมายถึง รัฐยังต้องเตรียม “เงิน” เพื่อจ่ายเป็น ค่าความพร้อม จ่ายให้เอกชนที่โรงไฟฟ้า เหมือนเป็นค่าประกันความเสี่ยง ให้เอกชน เพราะเมื่อเอกชนลงทุนผลิตไฟฟ้าใช้งบฯลงทุนมหาศาล เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีการซื้อไฟฟ้าหรือไม่ รัฐก็ต้องจ่ายเงินให้เขา เพื่อแลกกับความมั่นคงทางพลังงาน

ค่าครองชีพ ค่าไฟ แพงขึ้น

เจ้ากระทรวงพลังงานตบท้ายว่า

ตอนนี้อยากคุยกับเอกชนแล้ว ความร่วมแรงร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเกิดจะให้ดี “โรงไฟฟ้าก็เป็นสมาชิก ส.อ.ท. ส่วนธนาคารก็เป็นสมาชิก กกร. แล้วเพราะอะไรเอกชนจึงไม่มาอาสาสมัคร (volunteer) มาช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหาร่วมกัน” เช่นว่า ลดดอกเบี้ยให้สักหนึ่งปี หรือมีมาตรการอื่นๆแบบที่ทำในตอนโควิดบ้าง

รัฐ-เอกชนก็ว่ากันไป แต่สำหรับประชาชนอย่างพวกเรา ทางเดียวที่จะรอดในปีกระต่ายกรอบ อาจหนีไม่พ้นการประหยัด ถึงแม้ว่าจะรัดเข็มขัดจนถึงกิ่วแล้วก็ยังต้องทำต่อไป จวบจนกระทั่งจะมี “รัฐบาลใหม่” งัดไม้เด็ดมาช่วยค่าครองชีพได้