Sunday, 21 July 2024

“ค่าครองชีพ” ปีกระต่ายกรอบ

ค่าครองชีพ ที่มีปัญหา เป็นของขวัญ ปีกระต่าย ที่คนไทยไม่อยากรับ แม้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะยอมตรึงค่าไฟงวดเดือน เดือนมกราคม-เม.ย. 66 ในส่วนของบ้านที่พักที่ใช้ไฟไม่มากไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย และออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลพวงจากต้นทุนค่าไฟ ในส่วนของ ผู้สร้าง ที่มากขึ้นสม่ำเสมอ 3 รอบในปี 2565 พ่นพิษ กระทบต่อ ต้นทุนการสร้างสินค้าอย่างต่อเนื่อง

กกพ.

ค่าครองชีพ สูงขึ้น ปัญหาก็เพิ่มมากขึ้น

“แม้ กกพ. จะทบทวนค่าเอฟทีงวด ม.ค.-เม.ย.66 ให้เอกชน แต่ว่าก็ยังไม่สามารถบรรเทาผลกระทบได้ เนื่องจากยังมีต้นทุนอื่นๆทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงานที่เพิ่ม และยังไม่นับรวมดอกเบี้ยที่จะมากขึ้นอีกในปี’66”

เอกชนนำโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตลอดจนถึงนักวิชาการต่างทัดทานการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า พร้อมทำให้เห็นว่าการปรับค่าไฟฟ้า จะกดดันทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปี’66 ขยับเพิ่มขึ้นอีก 0.5% จากที่คาดการณ์ไว้ 3.0% เป็น 3.5%

เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ก็จะเชื่อมโยงให้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตาม ยิ่งดอกเบี้ยสูง คนที่มีภาระผ่อนบ้าน ผ่อนรถจะลำบาก และจะย้อนมาทำให้ “กำลังซื้อ” ของประชาชนจะหดลง ท้ายสุดจะไปกระทบต่อการฟื้นฟูสภาพทางด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) จากที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.5% ก็อาจไปไม่ถึง

“ภาระค่าใช้จ่าย” รายเดือนคนไทยที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เคยคำนวณไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ 18,146 บาทต่อเดือน ซึ่ง 41.55% เป็นค่าอาหาร ส่วน 58.45% ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่อาหาร นำโด่งเลยคือ ค่าโดยสารสาธารณะ ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ 23.34% หรือ 4,235 บาท

3 สถาบันทางเศรษฐกิจ

ค่าครองชีพ ค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ฯลฯ ก็แพงขึ้น

ตามด้วยค่าเช่าบ้าน ก่อสร้าง ค่าไฟ ก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ในบ้าน 22.14% หรือ 4,018 บาท อันดับที่ 3คือค่าแพทย์ ค่ายา รวมทั้งบริการเฉพาะบุคคล 5.39% หรือ 978 บาท ซึ่งแน่ๆว่าต้นปีกระต่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะขยับขึ้น ในขณะที่ “รายได้” ยังไม่ขยับตาม

อย่างไรก็ตาม ในมุม กกพ.ให้เหตุผลว่า การพิจารณา ปรับค่าไฟเป็นเพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าปรับสูงมากขึ้น จากเดิมไทยมีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ผลิตไฟฟ้าใช้ แต่ว่าหลังจากเปลี่ยนตัวผู้รับสัมปทานใหม่

ซึ่ง “ขลุกขลัก” ทำให้ผลิตได้ไม่เต็มกำลัง อย่างที่หวังไว้ ไทยจึงจะต้องแก้ปัญหาด้วย การใช้วัตถุดิบ LNG นำเข้า โดยเฉพาะการนำเข้า LNG SPOT ที่มีราคาสูงภายหลังสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ภาครัฐพยายาม แก้ปัญหา ด้วยการไปใช้น้ำมันดีเซล และ น้ำมันเตามาผลิตกระแสไฟฟ้าแทนบ้าง บวกกับ ยืดอายุ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ มาช่วย แต่ว่าก็ยังไม่สามารถท้วงติงต้นทุนที่สูงมากขึ้นได้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ก็จะต้องช่วยแบกภาระหน้าที่ไว้แทบถึง 1.5 แสนล้านแล้ว

ผลจาก วิกฤตพลังงานครั้งนี้ กระทรวงพลังงานรีบ แผนพลังงานแห่งชาติ เพิ่มขนาดการใช้ พลังงานหมุนเวียน มากขึ้น กระจายความเสี่ยง ด้วยการผลิตกระแสไฟฟ้าที่หลากหลายแหล่งเยอะขึ้น พร้อมด้วยจัดเตรียมแผนหา LNG สำรองต่างๆ

แต่หลายคนเห็นว่าถ้าเกิดคิดตามกลไกตลาด เมื่อสินค้าล้น ราคาต้องลดลง แต่นั่นก็ไม่ใช่สำหรับไฟฟ้า ที่ล้นแต่ราคาไม่ต่ำลง เพราะว่าติดสัญญาเรื่องค่าความพร้อมจ่าย

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

เจ้ากระทรวงพลังงานออกมาแถลงว่า

ไม่สามารถ “ทบทวนโครงสร้างค่าไฟ” ด้วยการไปเขย่าสัญญาซื้อขายที่ทำไว้กับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ และโยนลูกไปว่า “มันไม่ใช่สัญญาที่ทำในรัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลไหนทำมาก่อนก็จะไม่โทษกัน”

ซึ่งผลการ ไม่ปรับสัญญา ซื้อขายไฟ หมายถึง รัฐยังจะต้องเตรียม “เงิน” เพื่อจ่ายเป็น ค่าความพร้อม จ่ายให้เอกชนที่โรงไฟฟ้า เหมือนเป็นค่าประกันความเสี่ยง ให้เอกชน เพราะว่าเมื่อเอกชนลงทุนผลิตไฟฟ้าใช้งบฯลงทุนมากมาย ดังนั้นไม่ว่าจะมีการซื้อกระแสไฟฟ้าหรือไม่ รัฐก็จะต้องชำระเงินให้เขา เพื่อแลกกับความมั่นคงทางพลังงาน

ค่าครองชีพ ค่าไฟ แพงขึ้น

เจ้ากระทรวงพลังงานทิ้งท้ายว่า

ตอนนี้ต้องการคุยกับเอกชนแล้ว ความร่วมแรงร่วมใจระหว่างรัฐกับเอกชนเป็นสิ่งสำคัญ หากจะให้ดี “โรงไฟฟ้าก็เป็นพวก ส.อ.ท. ส่วนธนาคารก็เป็นพวก กกร. แล้วเพราะอะไรเอกชนจึงไม่มาอาสาสมัคร (volunteer) มาช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหาร่วมกัน” เช่นว่า ลดดอกเบี้ยให้สักหนึ่งปี หรือมีมาตรการอื่นๆแบบที่ทำในตอนโควิดบ้าง

รัฐ-เอกชนก็ว่ากันไป แต่ว่าสำหรับประชาชนอย่างพวกเรา ทางเดียวที่จะรอดในปีกระต่ายกรอบ คงจะหนีไม่พ้นการประหยัด แม้กระทั่งรัดเข็มขัดจนกิ่วรวมทั้งยังต้องทำต่อไป จวบจนกระทั่งจะมี “รัฐบาลใหม่” งัดไม้ตายมาช่วยค่าครองชีพได้