“ค่าครองชีพ” ปีกระต่ายกรอบ
ค่าครองชีพ ที่มีปัญหา เป็นของขวัญ ปีกระต่าย ที่คนไทยไม่อยากรับ หากแม้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะยอมตรึงค่าไฟฟ้างวดเดือน มกราคม-เม.ย. 66 ในส่วนของบ้านที่พักที่ใช้ไฟไม่มากไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย พร้อมทั้งออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลพวงจากต้นทุนค่าไฟฟ้า ในส่วนของ ผู้ผลิต ที่มากขึ้นต่อเนื่อง 3 รอบในปี 2565 พ่นพิษ กระทบต่อ ต้นทุนการสร้างสินค้าอย่างต่อเนื่อง
ค่าครองชีพ สูงขึ้น ปัญหาก็เพิ่มมากขึ้น
“แม้ กกพ. จะทบทวนค่าเอฟทีงวด มกราคม-เม.ย.66 ให้เอกชน แต่ว่าก็ยังไม่สามารถบรรเทาผลพวงได้ ด้วยเหตุว่ายังมีต้นทุนอื่นๆทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าตอบแทนที่เพิ่ม และยังไม่นับรวมดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นอีกในปี’66”
เอกชนนำโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตลอดจนถึงนักวิชาการต่างคัดค้านการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า พร้อมทำให้เห็นว่าการปรับค่าไฟฟ้า จะกดดันทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปี’66 ขยับเพิ่มขึ้นอีก 0.5% จากที่คาดการณ์ไว้ 3.0% เป็น 3.5%
เมื่อเงินเฟ้อสูงมากขึ้น ก็จะเชื่อมโยงให้มีการปรับอัตราค่าดอกเบี้ยมากขึ้นตาม ยิ่งดอกเบี้ยสูง คนที่มีภาระหน้าที่ผ่อนบ้าน ผ่อนรถจะทุกข์ใจ และจะย้อนมาทำให้ “กำลังซื้อ” ของประชาชนจะหดลง ท้ายสุดจะไปกระทบต่อการฟื้นตัวด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) จากที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.5% ก็อาจจะไปไม่ถึง
“ภาระค่าใช้จ่าย” รายเดือนคนไทยที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เคยคำนวณไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ 18,146 บาทต่อเดือน ซึ่ง 41.55% เป็นค่าอาหาร ส่วน 58.45% ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่อาหาร นำโด่งเลยคือ ค่าโดยสารสาธารณะ ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ 23.34% หรือ 4,235 บาท
ค่าครองชีพ ค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ฯลฯ ก็แพงขึ้น
ตามด้วยค่าเช่าบ้าน ก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ในบ้าน 22.14% หรือ 4,018 บาท อันดับ 3คือค่าหมอ ค่ายา แล้วก็บริการส่วนตัว 5.39% หรือ 978 บาท ซึ่งแน่นอนว่าต้นปีกระต่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะขยับขึ้น ในขณะที่ “รายได้” ยังไม่ขยับตาม
อย่างไรก็ตาม ในมุม กกพ.บอกเหตุผลว่า การพิจารณา ปรับค่าไฟเป็นเพราะว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าปรับสูงขึ้น จากเดิมไทยมีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ผลิตไฟฟ้าใช้ แต่ก็หลังเปลี่ยนตัวผู้รับสัมปทานใหม่
ซึ่ง “ขลุกขลัก” ทำให้ผลิตได้ไม่เต็มกำลัง อย่างที่หวังไว้ ไทยจึงต้องแก้ปัญหาด้วย การใช้วัตถุดิบ LNG นำเข้า โดยเฉพาะการนำเข้า LNG SPOT ที่มีราคาสูงหลังจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ภาครัฐพยายาม แก้ปัญหา ด้วยการไปใช้น้ำมันดีเซล และ น้ำมันเตามาผลิตไฟฟ้าแทนบ้าง บวกกับ ยืดอายุ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ มาช่วย แต่ว่าก็ยังไม่สามารถท้วงติงต้นทุนที่สูงขึ้นได้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ก็ต้องช่วยแบกภาระไว้เกือบถึง 1.5 แสนล้านแล้ว
ผลจาก วิกฤตพลังงานครั้งนี้ กระทรวงพลังงานเร่ง แผนพลังงานแห่งชาติ เพิ่มขนาดการใช้ พลังงานหมุนเวียน มากขึ้น กระจายความเสี่ยง ด้วยการสร้างไฟฟ้าที่หลากหลายแหล่งเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับจัดเตรียมแผนหา LNG สำรองต่างๆ
แต่หลายคนเห็นว่าถ้าคิดตามกลไกตลาด เมื่อสินค้าล้น ราคาต้องลดลง แต่นั่นไม่ใช่สำหรับกระแสไฟฟ้า ที่ล้นแต่ว่าราคาไม่ต่ำลง เพราะติดสัญญาเรื่องค่าความพร้อมจ่าย
เจ้ากระทรวงพลังงานออกมาแถลงว่า
ไม่สามารถ “ทบทวนโครงสร้างค่าไฟ” ด้วยการไปเขย่าสัญญาซื้อขายที่ทำไว้กับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ และโยนลูกไปว่า “มันไม่ใช่สัญญาที่ทำในรัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลไหนทำมาก่อนก็จะไม่โทษกัน”
ซึ่งผลการ ไม่ปรับสัญญา ซื้อขายไฟ หมายถึง รัฐยังต้องเตรียม “เงิน” เพื่อจ่ายเป็น ค่าความพร้อม จ่ายให้เอกชนที่โรงไฟฟ้า เหมือนเป็นค่าประกันความเสี่ยง ให้เอกชน เพราะเมื่อเอกชนลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าใช้งบฯลงทุนมหาศาล ดังนั้นไม่ว่าจะมีการซื้อไฟฟ้าหรือไม่ รัฐก็จะต้องจ่ายเงินให้เขา เพื่อแลกเปลี่ยนกับความมั่นคงทางพลังงาน
เจ้ากระทรวงพลังงานทิ้งท้ายว่า
ตอนนี้ต้องการคุยกับเอกชนแล้ว ความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าจะให้ดี “โรงไฟฟ้าก็เป็นพวก ส.อ.ท. ส่วนธนาคารก็เป็นพวก กกร. แล้วเหตุใดเอกชนจึงไม่มาอาสาสมัคร (volunteer) มาช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหาร่วมกัน” เช่นว่า ลดดอกเบี้ยให้สักหนึ่งปี หรือมีมาตรการอื่นๆแบบที่ทำในช่วงโควิดบ้าง
รัฐ-เอกชนก็ว่ากันไป แต่ว่าสำหรับชาวบ้านอย่างเรา ทางเดียวที่จะรอดในปีกระต่ายกรอบ อาจหนีไม่พ้นการประหยัด ต่อให้รัดเข็มขัดจนถึงกิ่วและก็ยังต้องทำต่อไป จนกระทั่งจะมี “รัฐบาลใหม่” งัดไม้ตายมาช่วยค่าครองชีพได้