Friday, 18 October 2024

“ค่าครองชีพ” ปีกระต่ายกรอบ

ค่าครองชีพ ที่มีปัญหา เป็นของขวัญ ปีกระต่าย ที่ชาวไทยไม่อยากจะรับ ถึงแม้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะยอมตรึงค่าไฟฟ้างวดเดือน เดือนมกราคม-เม.ย. 66 ในส่วนของบ้านที่พักที่ใช้ไฟไม่มากไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย พร้อมด้วยออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

แต่ว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลพวงจากต้นทุนค่าไฟฟ้า ในส่วนของ ผู้ผลิต ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3 รอบในปี 2565 พ่นพิษ กระทบต่อ ต้นทุนการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่อง

กกพ.

ค่าครองชีพ สูงขึ้น ปัญหาก็เพิ่มมากขึ้น

“ถึงแม้ กกพ. จะทบทวนค่าเอฟทีงวด ม.ค.-เม.ย.66 ให้เอกชน แต่ก็ยังไม่สามารถทุเลาผลพวงได้ เพราะว่ายังมีต้นทุนอื่นๆทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าตอบแทนที่เพิ่ม และยังไม่นับรวมดอกเบี้ยที่จะมากขึ้นอีกในปี’66”

เอกชนนำโดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ตลอดจนถึงนักวิชาการต่างท้วงติงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า พร้อมแสดงให้เห็นว่าการปรับค่าไฟ จะกดดันทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยปี’66 ขยับมากขึ้นอีก 0.5% จากที่คาดการณ์ไว้ 3.0% เป็น 3.5%

เมื่อเงินเฟ้อสูงมากขึ้น ก็จะเชื่อมโยงให้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นตาม ยิ่งดอกเบี้ยสูง คนที่มีภาระผ่อนบ้าน ผ่อนรถจะทุกข์ใจ และจะย้อนมาทำให้ “กำลังซื้อ” ของประชาชนจะหดลง ท้ายสุดจะไปกระทบต่อการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจ (จีดีพี) จากที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 3.5% ก็อาจไปไม่ถึง

“ภาระค่าใช้จ่าย” รายเดือนคนไทยที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เคยคำนวณไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ที่ 18,146 บาทต่อเดือน ซึ่ง 41.55% เป็นค่าอาหาร ส่วน 58.45% ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่อาหาร นำโด่งเลยคือ ค่าโดยสารสาธารณะ ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ 23.34% หรือ 4,235 บาท

3 สถาบันทางเศรษฐกิจ

ค่าครองชีพ ค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ฯลฯ ก็แพงขึ้น

ตามด้วยค่าเช่าบ้าน ก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ในบ้าน 22.14% หรือ 4,018 บาท อันดับ 3ก็คือค่าแพทย์ ค่ายา รวมทั้งบริการส่วนตัว 5.39% หรือ 978 บาท ซึ่งแน่ๆว่าต้นปีกระต่ายรายจ่ายเหล่านี้จะขยับขึ้น ในขณะที่ “รายได้” ยังไม่ขยับตาม

อย่างไรก็ตาม ในมุม กกพ.บอกเหตุผลว่า การพิจารณา ปรับค่าไฟฟ้าเป็นเพราะต้นทุนการสร้างกระแสไฟฟ้าปรับสูงขึ้น จากเดิมไทยมีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ แต่หลังเปลี่ยนตัวผู้รับสัมปทานใหม่

ซึ่ง “ขลุกขลัก” ทำให้ผลิตได้ไม่เต็มกำลัง อย่างที่หวังไว้ ไทยจึงต้องแก้ปัญหาด้วย การใช้วัตถุดิบ LNG นำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้า LNG SPOT ที่มีราคาสูงหลังจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ภาครัฐพยายาม แก้ปัญหา ด้วยการไปใช้น้ำมันดีเซล และ น้ำมันเตามาผลิตกระแสไฟฟ้าแทนบ้าง บวกกับ ยืดอายุ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ มาช่วย แต่ก็ยังไม่สามารถทักท้วงต้นทุนที่สูงมากขึ้นได้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ก็ต้องช่วยแบกภาระไว้เกือบถึง 1.5 แสนล้านแล้ว

ผลจาก วิกฤตพลังงานครั้งนี้ กระทรวงพลังงานรีบ แผนพลังงานแห่งชาติ เพิ่มสเกลการใช้ พลังงานหมุนเวียน มากขึ้น กระจายความเสี่ยง ด้วยการผลิตไฟฟ้าที่หลากหลายแหล่งเพิ่มมากขึ้น พร้อมด้วยจัดเตรียมแผนหา LNG สำรองต่างๆ

แต่ก็หลายคนมองว่าหากคิดตามกลไกตลาด เมื่อสินค้าล้น ราคาต้องลดลง แต่นั่นไม่ใช่สำหรับไฟฟ้า ที่ล้นแต่ราคาไม่ลดลง เพราะติดสัญญาเรื่องค่าความพร้อมจ่าย

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

เจ้ากระทรวงพลังงานออกมาแถลงว่า

ไม่สามารถ “ทบทวนโครงสร้างค่าไฟ” ด้วยการไปเขย่าสัญญาซื้อขายที่ทำไว้กับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้ และโยนลูกไปว่า “มันไม่ใช่สัญญาที่ทำในรัฐบาลนี้ เป็นรัฐบาลไหนทำมาก่อนก็จะไม่โทษกัน”

ซึ่งผลการ ไม่ปรับสัญญา ซื้อขายไฟ หมายถึง รัฐยังจะต้องเตรียม “เงิน” เพื่อจ่ายเป็น ค่าความพร้อม จ่ายให้เอกชนที่โรงไฟฟ้า เหมือนเป็นค่าประกันความเสี่ยง ให้เอกชน เพราะเมื่อเอกชนลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าใช้งบฯลงทุนมหาศาล ดังนั้นไม่ว่าจะมีการซื้อกระแสไฟฟ้าหรือไม่ รัฐก็ต้องชำระเงินให้เขา เพื่อแลกกับความมั่นคงทางพลังงาน

ค่าครองชีพ ค่าไฟ แพงขึ้น

เจ้ากระทรวงพลังงานตบท้ายว่า

ตอนนี้อยากคุยกับเอกชนแล้ว ความร่วมแรงร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าหากจะให้ดี “โรงไฟฟ้าก็เป็นสมาชิก ส.อ.ท. ส่วนธนาคารก็เป็นสมาชิก กกร. แล้วเพราะเหตุใดเอกชนจึงไม่มาอาสาสมัคร (volunteer) มาช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหาร่วมกัน” เช่นว่า ลดดอกเบี้ยให้สักหนึ่งปี หรือมีมาตรการอื่นๆแบบที่ทำในตอนโควิดบ้าง

รัฐ-เอกชนก็ว่ากันไป แต่ว่าสำหรับชาวบ้านอย่างพวกเรา ทางเดียวที่จะรอดในปีกระต่ายกรอบ อาจหนีไม่พ้นการประหยัด ต่อให้รัดเข็มขัดกระทั่งกิ่วรวมทั้งยังจะต้องทำต่อไป จนกระทั่งจะมี “รัฐบาลใหม่” งัดทีเด็ดมาช่วยค่าครองชีพได้